และในที่สุดการเดินทางของเรามาถึงชั้นสุดท้ายกันแล้วค่ะ ในชั้นนี้ตามป้ายบอกทางนั้น บอกว่าเดินไปอีกไม่ไกลเราก็จะถึงจุดหมายปลายทางเพียงแค่อีก 100 เมตร จากชั้นที่ 6 แต่ในความรู้สึกเหมือนเดินสัก 500 เมตรเลยทีเดียวค่ะ เพราะ ทางค่อนข้างลำบากเอาการ ไหนจะต้องปีนบันไดที่ทั้งสูงทั้งชันแต่ละขั้นก็ห่างกันเกินกว่าที่คนขาสั้นๆอย่างเราจะสามารถ และไม่ใช่เจอบันไดแบบนี้แค่ที่เดียว แต่เจอหลายรอบจนหมดแรง ไหนจะต้องกระโดดข้ามแอ่งน้ำถึง 2 ครั้ง ที่ทำเอาหวาดเสียวว่าจะกระโดดพลาดแล้วตกน้ำเปียกหรือเปล่า แต่ก็ไม่เปียกอย่างที่คิดค่ะแค่เกือบๆไปเท่านั้น และในชั้น 7 ที่เป็นจุดหมายของเราวันนี้ก็คือที่มาของชื่อน้ำตกเอราวัณค่ะ เนื่องจากหน้าผาน้ำตกของชั้นนี้ ถ้าจะมองเพียงเผินๆแล้วอาจจะมองไม่ออก แต่ถ้าสังเกตดีๆจะแลเห็นเหมือน เศียรของช้างเอราวัณทั้ง 3 เศียร สัตว์พาหนะของพระอินทร์ เป็นช้างเผือก มีด้วยกัน 33 เศียร แต่ละเศียรมีงา 7 งา ในเรื่องรามายณะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ในฤดูฝนที่มีน้ำมาก น้ำตกชั้นนี้จะเป็นชั้นที่สวยที่สุดและนักท่องเที่ยวต่างชาติมักนิยมมาเที่ยวกันในช่วงนั้นด้วยค่ะ
ไม่ว่าท่านใดที่เดินทางมายังน้ำตกเอราวัณแห่งนี้แล้ว เชื่อได้แน่นอนค่ะว่าจะต้องประทับใจกับความสวยงามและความสมบูรณ์ของธรรมชาติ แม้ว่าในฤดูกาลที่น้ำน้อย อย่างในเดือนเมษายน ที่จัดว่าร้อนและแล้งที่สุด น้ำตกเอราวัณสายนี้ก็ยังคงมีสายน้ำที่ไหลตลอดเวลา ซึ่งนับว่าเป็นน้ำตกที่สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปีเลยค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีมาในหน้าฝนต้นหนาวหน่อยๆจะดีที่สุดค่ะ เพราะ น้ำมากน่าเล่นและปลาสวยน้ำใสค่ะ แม้ว่าในการเดินขึ้นชั้นสูงๆจะลำบากและเละเพราะดินลื่นไปซักหน่อย แต่ว่าคุ้มค่าแน่นอน สำหรับท่านใดที่ต้องการค้างคืนนั้นทางอุทยานก็มีที่พักให้บริการ หรือหากท่านใดต้องการกางเต้นท์ก็มีที่สำหรับกางเต้นท์ให้บริการด้วยค่ะ นอกจากนั้นการเดินทางก็ยังสะดวกสบายมีลานจอดรถกว้างขวางไว้คอยรองรับนักท่องเที่ยว ไม่ต้องกลัวว่าหากมาในวันหยุดจะไม่มีที่จอดรถเลยค่ะ แต่ที่สำคัญที่สุดจะลืมไม่ได้ ก็คือการช่วยกันรักษาความสะอาดค่ะ แม้ว่าทางอุทยานจะมีมาตรการให้นักท่องเที่ยวจ่ายค่ามัดจำขวดน้ำหากต้องการนำขวดน้ำติดตัวไปด้วย
แต่ถ้าตัวนักท่องเที่ยวเองยังขาดจิตสำนึกไม่ช่วยกันรักษาความสะอาดแล้วล่ะก็ ในอนาคตเราอาจไม่มีน้ำตกสวยๆแบบนี้ให้ได้ไปเที่ยวอีกแล้ว